แวดวงคนเลี้ยงหมูจะถกปัญหา “หมูเถื่อน” กันในแทบทุกวงสนทนา ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่มีการตรวจจับหมูเถื่อนได้นับล้านกิโลกรัมที่รัฐเพิ่งฝังทำลายไปเมื่อกลางเดือนมกราคม 2566 หรือประเด็นที่บางพื้นที่มีปริมาณหมูสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งๆที่ไม่มีการเลี้ยงเพิ่ม ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนตั้งข้อสันนิษฐานเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากมันคือ “หมูเถื่อน”
ดังเช่นในพื้นที่ภาคเหนือซึ่งนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรภาคเหนือระบุว่าปัญหาหมูเถื่อนในภาคเหนือยังมีอยู่อย่างแน่นอน เนื่องจากปกติจะมีชิ้นส่วนหมูจากทุกภาคส่งขึ้นมาขายยังภาคเหนือราวเดือนละประมาณ 2-3 ล้านกิโลกรัม แต่ปัจจุบันมีหมูส่งเข้ามาขายในพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเป็น 4.8-4.9 ล้านกิโลกรัม เป็นปริมาณหมูที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ขณะที่ปริมาณการเลี้ยงในพื้นที่ไม่ได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ผู้เลี้ยงสุกรทุกภาคทั่วประเทศต่างกล่าวตรงกันว่า ปริมาณหมูเถื่อนตามตลาดและร้านค้าต่าง ๆ ทั่วไทย ยังคงมีจำนวนมาก ยิ่งจับได้มาก หมูเถื่อนก็โผล่ออกมามากขึ้น การรุกตลาดของหมูเถื่อนส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกร เพราะมีการขายตัดราคาต่ำกว่าหมูของเกษตรกรไทยถึง 30% และยังเป็นความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงอย่าง ASF รวมถึงอันตรายจากสารปนเปื้อนตกค้างที่จะกระทบสุขภาพอนามัยของผู้บริโภคชาวไทย ดังนั้น กลุ่มเกษตรกรจึงขอให้กรมปศุสัตว์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขีดเส้นตายการกำจัดหมูเถื่อนให้จบสิ้น ภายในกลางปี 2566 ไม่ใช่ภายในปลายปีอย่างที่เจ้าหน้าที่รัฐระบุ เนื่องจากตลอดปี 2565 ที่ผ่านมา รัฐมีแนวทางการจัดการที่ดีและเห็นผลแล้ว ขอเพียงดำเนินการขยายผลอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ย่อมสามารถปิดเกมส์ได้ไม่เกินมิถุนายนนี้แน่นอน ที่สำคัญ การดึงเวลาออกไปอีกครึ่งปีย่อมไม่เป็นผลดีต่อทุกภาคส่วน
และแล้วเมื่อ 26 มกราคม 2566 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ออกมาย้ำให้เจ้าหน้าที่รัฐทำการปราบปรามหมูเถื่อนอย่างเคร่งครัดรัดกุม ควบคู่การหาทางป้องกันไม่ให้ปัญหาหมูเถื่อนเกิดขึ้นอีกในอนาคต สิ่งสำคัญคือต้องไม่ให้เกิดผลกระทบถึงผู้บริโภคและเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร
“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่านโยบายปราบปรามสุกรเถื่อนจำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจัง เคร่งครัด เพื่อช่วยเหลือดูแลทั้งเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ให้สามารถขายสุกรได้ในราคาที่สมเหตุสมผลไม่มีผลกระทบทางการตลาดจากสุกรเถื่อน ลดการแพร่ระบาด โรค ASF ในสุกร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในผู้บริโภค และเพื่อดูแลกลุ่มคนที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อขายเนื้อสุกรอย่างถูกกฎหมายในประเทศ ทั้งนี้ได้ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล จนสามารถปราบปรามสุกรเถื่อนได้เห็นผลเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ดี สถานการณ์สุกรเถื่อนยังต้องดูแลเฝ้าระวังและพิจารณาร่วมกันเพื่อมาตรการที่ครอบคลุมต่อไป” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว
จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถึงระดับนายกรัฐมนตรีลงมาสั่งการ ลำพังรัฐมนตรีว่าการฯ กับกรมปศุสัตว์ กรมศุลากร และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานตรงไปตรงมาก็น่าจะ “เอาอยู่” และ “ปิดจ๊อบ” ได้ภายในกลางปีนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อได้แรงหนุนจากผู้นำประเทศก็ย่อมเป็นเรื่องที่ดี ความหวังที่ประเทศไทยจะจัดการกับขบวนการหมูเถื่อนแบบถอนรากถอนโคนน่าจะเป็นจริงได้เร็วขึ้น รวมไปถึงความหวังที่จะได้เห็น “ผู้บงการ” ตัวใหญ่ที่เอาเปรียบผู้บริโภคและกัดกินผลประโยชน์บนความทุกข์ของเกษตรกรมานานด้วย
โดย อาจหาญ วิจารณ์ทัศน์