
เชียงราย – คณะอนุกรรมการเสริมสร้าง ขับเคลื่อน และติดตามการดำเนินงานด้านวิจัยและพัฒนา ในคณะกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 25–26 ธันวาคม 2568 เพื่อศึกษาดูงานและร่วมประชุมหารือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานในพื้นที่ โดยในวันแรก (25 ธันวาคม) คณะฯ เดินทางไปยังมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อรับฟังและติดตามผลการดำเนินงานด้านวิจัยและพัฒนาที่ได้รับการสนับสนุนจากวุฒิสภา

คณะอนุกรรมการฯ นำโดย นายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ในฐานะที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฯ, นายชิบ จิตนิยม ประธานคณะอนุกรรมการฯ, ศ.พิชานดร.แล ดิลกวิทยรัตน์ ที่ปรึกษาและอนุกรรมการ, และ นางสาวมณีรัฐ เขมะวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการฯ โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พร้อมคณะผู้บริหารและนักวิจัย ให้การต้อนรับและนำเสนอผลงานวิจัยที่มุ่งเน้นปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ภาคเหนือและลุ่มน้ำข้ามพรมแดน อาทิ ผลกระทบจากการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธต่อแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง, การบูรณาการงานวิจัยกับนวัตกรรมชุมชนเพื่อแก้ไขมลพิษทางน้ำ, และบทบาทของมหาวิทยาลัยในการสนับสนุนการผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด

โดยนายบุญส่ง กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการติดตามความก้าวหน้าตามบันทึกข้อตกลง (MOU) ด้านการวิจัยร่วมกัน และเชื่อมโยงองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยสู่กระบวนการนิติบัญญัติ โดยเฉพาะประเด็นแร่หายากและกฎหมายอากาศสะอาด
ด้านนายชิบ กล่าวว่า งานวิจัยของ ม.แม่ฟ้าหลวง ชี้ชัดถึงผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งทำให้แม่น้ำในเชียงรายและแม่น้ำโขงมีสารเคมีตกค้างในระดับอันตราย ส่งผลกระทบต่อการเกษตร สาธารณสุข และการท่องเที่ยว

“หากไม่แก้ปัญหาที่ต้นทาง ประชาชนในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ปลายน้ำจะต้องเผชิญกับสารพิษตกค้างในระยะยาว โดยคณะอนุกรรมการฯ จะผลักดันให้งานวิจัยถูกนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลเชิงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม” นายชิบ กล่าว
ขณะที่ ศ.พิชานดร.แล กล่าวชื่นชมแนวทางการบูรณาการองค์ความรู้วิชาการกับภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยเฉพาะจากกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความร่วมมือเพื่อจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ด้านนางสาวมณีรัฐ กล่าวเสริมว่า จังหวัดเชียงรายเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมซ้ำซาก ทั้งฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากไฟป่าและเผาไร่ รวมถึงปัญหาน้ำท่วมที่ทวีความรุนแรงจากภาวะโลกร้อนและการทำเหมืองแร่บริเวณต้นน้ำ
“มลพิษทางน้ำข้ามพรมแดนเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจของประชาชน งานวิจัยจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการผลักดันการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ” นางสาวมณีรัฐ กล่าว

และในวันถัดมา(26 ธันวาคม) คณะอนุกรรมการฯ ยังได้เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ ศูนย์ประสานงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ จังหวัดเชียงราย เพื่อรับฟังแผนการดำเนินงานเขตควบคุมมลพิษ 4 จังหวัด และเยี่ยมชมระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศ
ทั้งนี้ ข้อมูลและข้อค้นพบจากการลงพื้นที่ครั้งนี้จะถูกนำไปใช้เป็นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนบทบาทด้านนิติบัญญัติ การกำกับติดตามนโยบาย และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการจัดการสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชนต่อไป

.







