
“พืชเกษตร” ไทย-กัมพูชา ไม่ต่างกันนาข้าว ไร่มัน ไร่ข้าวโพด สวนทุเรียน สวนลำไย สวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน ส่วนผลผลิตปริมษรกัมพูชาเหนือกว่า ปัจจัยหนุนเพิ่ง “เปิดป่า” ทำการเกษตรเกษตรไทยเป็นที่ปรึกษาพี่เลี้ยง
นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปยังบ้านหนองจาน อ.หนองจาน จ.สระแก้ว ชายแดนไทย กัมพูชา พร้อมคณะนายวีระรอด ความคิด เกี่ยวกับปัญหาพิพาทชายแดนไทย กัมพูชา บ้านหนองจาน เมื่อเร็ว ๆนี้
จึงได้ศึกษาสภาพพื้นที่จริง ปรากฏว่าพื้นที่ชายแดนไทย กัมพูชา จ.สระแก้ว สภาพพื้นที่ภูมิประเทศภูมิอากาศรูแบบเดียวกับไทย และที่สำคัญการเกษตรของกัมพูชาไม่ต่างกับของไทย มีการทำนาข้าว ไร่มันสะปะหลัง ไร่ข้าวโพด ไร่อ้อย ทุเรียน ลำไย ยางพารา และปาล์มน้ำมัน

โดยเฉพาะจะทำปริมาณมากคือการทำนาข้าว และไร่มันสำปะหลัง เฉพาะนาข้าวจะเป็นพื้นที่กว้างขนาดใหญ่สวยงาม และดินดีจะมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสมสำหรับการเกษตรเป็นอย่างมาก
“ได้ศึกษารับทราบว่าการทำนาข้าวกับไร่มันสำปะหลัง จะมีปริมาณผลผลิตจำนวมาก โดยเฉพาะข้าวจะให้ผลผลิตกว่า 1,000 ตัน / ไร่ จึงได้ข้อสรุปว่ามีเหตุผลที่ข้าวกัมพูชาราคาถูกกว่าของไทยมาก ซึ่งขณะนี้ประมาณ 4,000 บาท / ตัน มันสำปะหลัง ประมาณ 00.80 -00.90 บาท / กก.
นายทศพล ยังกล่าวอีกว่า บางส่วนยังมีกลุ่มนักลงทุนจากประเทศไทยได้เข้าไปลงทุนทำการเกษตร เช่น ปาล์มน้ำมัน เป็นหลักแสนไร่ ฯลฯ จึงไม่แปลกที่สินค้าการเกษตรทุกตัวราคาต้นทุนการผลิตต่ำ เพราะดินดีและค่าแรงต่ำ จึงสามารถผลิตได้ปริมาณมาก และสามารถกระจายสินค้าส่งออกไปยังต่างประเทศ ที่จะสามารถแข่งขันได้

“ภาวะดังกล่าวจึงส่งกระทบต่อสินค้าเกษตรกรไทยโดยเฉพาะสินค้าการเกษตรหลัก เช่น ข้าว และมันสำปะหลังที่ราคาไม่นิ่งและจะปรับตัว ก็เป็นส่วนหนึ่งจากสินค้าที่ส่งออกและนำเข้ามาจากประเทศกัมพูชา”
นายทศพล กล่าวเพิ่มเติมว่า อนาคตจึงน่ากังวลถึงตลาดสินค้าการเกษตรของไทย หากไม่มีการดูแลกำกับควบคุมที่ดีเรื่องการตลาจะส่งผลกระทบต่อสินค้าการเกษตรไทยทั้งแต่ราคาข้าว ข้าวโพด ราคามันสำปะหลัง ยาง ปาล์มน้ำมัน ทุเรียน ฯลฯ
นายจิระวัฒน์ ภักดี กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เอกภัคเกษตรไทย จำกัด ผู้แทนจำหน่ายพืชเกษตรและปุ๋ย เปิดเผยว่า ได้เข้าศึกษาดูงานการเกษตรและทางด้านการตลาดพืชเกษตรพื้นที่ประเทศชายแดนไทย สปป.ลาว และกัมพูชา ทั้ง 2 ประเทศสภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศไม่ต่างกับไทย แต่ยังมีข้อได้เปรียบมาก คือดินดีเหมาะสำหรับการเกษตร ปัจจัยสนับสนุนเพราะเป็นระยะเพิ่งเปิดป่า และทอยเปิดและยังเพิ่งเริ่มทำการเกษตรอย่างจริงจังในหลายพื้นที่ทั้ง สปป.ลาว และกัมพูชา

โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชายแดนไทย จะมีการลงทุนทำกันมากตั้งแต่นาข้าว ไร่ข้าวโพด ไร่มันสำปะหลัง และตามมาไร่อ้อย สวนทุเรียน และสวนลำไย ส่วน สปป.ลาว โดยเฉพาะลาวเหนือจะลงทุนทำสวนยางพาราเป็นส่วนใหญ่
“โดยเฉพาะชายแดนไทย กัมพูชา จ.จันทบุรี จะเน้นลงทุนปลูกทุเรียนตลอดแนวชายแดนหลายหมื่นไร่ โดยต้นแบบสวนทุเรียนจาก จ.จันทบุรี ส่วยชายแดน จ.สระแก้ว จะมีการปลูกลำใยตามมา”
นายจิระวัฒน์ กล่าวอีกว่า จากสภาพดินดีอุดมสมบูรณ์การทำการเกษตรแทบจะไม่ต้องลงทุนโดยเฉพาะปุ๋ยสำหรับพืชบางตัว เช่น มันสำปะหลัง เป็นต้น ซึ่งจะปลูกช่วงต้นฝนเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน ซึ่งจะไปเก็บเกี่ยวเดือนเมษายน
“แต่ถึงอย่างไรทางกัมพูชาก็มีสั่งปุ๋ยโดยการขายตรงประมาณหลายหมื่นตัน / ปี เช่นเดียวกันเพราะจะนำไปใช้พืชเกษตรตัวอื่น”

“เกษตรกัมพูชาผลผลิตพืชปริมาณมาก / ไร่ เพราะดินดีจากระยะแรกของการเพิ่งเปิดป่าเริ่มทำการเกษตร เรื่องการเกษตรชาวกัมพูชา จึงยังไม่ความชำนาญความรู้ที่ดี ที่ทำเกษตรอยู่เพราะผู้มีความรู้ด้านการเกษตรจากฝั่งไทยไปเป็นที่ปรึกษาเป็นพี่เลี้ยง”
นายจิระวัฒน์ กล่าวว่า ได้ศึกษสวนทุเรียนของชาวกัมพูชา ปรากฏว่ามีผลผลิตปริมาณมากโดยผลิตถึง 4-5 กก. / ลูก แต่ทางด้านรสชาดของทุเรียนกัมพูชา ทุเรียนไทยยังมีคุณภาพมากกว่า
“กัมพูชามีที่ดินมากและผู้ประกอบการลงทุนทางด้านการเกษตรต่างเป็นคนมีฐานะ และลงทุนเป็นรายละ 40 – 50 ไร่”.






