ครม.เห็นชอบร่างแก้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ใช้มานานกว่า 96 ปี โดยม. 7 ให้ลดจาก 7.5% ต่อปี เป็น 3% ต่อปี และ ม. 224 ให้ลดดอกเบี้ยผิดนัดจาก 7.5% ต่อปี เป็น 5% ต่อปี รวมถึงให้คิดจากเงินต้นเฉพาะงวดที่ผิดนัดเท่านั้น คาดประกาศใช้ภายในปี 64
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ว่า สืบเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ในมาตรา 7 และ มาตรา 224 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานตั้งแต่ปี พ.ศ.2468 ซึ่งไม่สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน จากความล้าสมัยของอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ 7.5% ต่อปีนี้ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น
- ลูกหนี้ได้รับความเดือดร้อนจากภาระดอกเบี้ยที่สูงเกินควร
- เจ้าหนี้บางรายอาศัยความไม่ชัดเจน กำหนดให้ลูกหนี้เมื่อผิดนัดงวดใดงวดหนึ่ง ต้องจ่ายดอกเบี้ยบนเงินต้นทั้งหมด
- สร้างความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรม
- มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศโดยภาพรวม
ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยลดภาระของลูกหนี้จากการชำระดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินควร และปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย ครม.จึงมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) โดยมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย ประกอบด้วย
- อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้กำหนดไว้ก่อน หรือไม่ได้มีกฎหมายกำหนด (แก้ไข มาตรา 7) โดยปรับลดจากอัตรา 7.5% ต่อปี เป็นอัตรา 3% ต่อปี ซึ่งกระทรวงการคลัง จะทบทวน ทุก 3 ปี ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ
- อัตราดอกเบี้ยผิดนัด (แก้ไข มาตรา 224) โดยปรับลดจาก 7.5% ต่อปีเป็น 5% ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงนี้ เป็นอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 3 %ต่อปี บวกด้วยอัตราเพิ่ม 2% ต่อปี
- กำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้คำนวณดอกเบี้ยผิดนัดได้ เฉพาะจากเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น จากเดิมที่มาตรา 224/1 ไม่ได้กำหนดไว้ ส่งผลให้เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยจากเงินต้นที่ค้างอยู่ทั้งหมด
ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งในขั้นตอนต่อไป จะประสานงานทางสภาผู้แทนราษฎรโดยเร่งด่วน เพื่อรับร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เข้าสู่กระบวนการพิจารณา และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปี 64 นี้
เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว จะเป็นโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยให้ลูกหนี้ได้รับความเป็นธรรมในการจ่ายดอกเบี้ย ป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้วิธีประวิงการฟ้องคดี เพื่อเรียกดอกเบี้ยตามกฎหมายที่สูงเกินควร และป้องกันไม่ให้ลูกหนี้ต้องแบกภาระดอกเบี้ยในหนี้ที่ยังไม่ได้ผิดนัด