“พรรคพลังสังคมใหม่”ได้ฤกษ์เปิดแถลงนโยบายพรรค เตรียมพร้อมลุยศึกเลือกตั้ง ชูนโยบาย “ศาสนา-ปากท้องประชาชน-ลดความเหลื่อมล้ำ” ดึงดูดความศรัทธาประชาชน ย้ำนโยบายแรกช่วยเหลือคนจน “จ่ายถ้วนหน้า” เดือนละ 3,000 บาท จนกว่าจะหายจน ด้านศาสนา ผลักดันจัดตั้ง “กระทรวงพุทธศาสนา” ผุด “กองทุนทำนุบำรุงพุทธศาสนา”ดูแลกิจการสงฆ์ พร้อมจัดให้มีวิสาหกิจชุมชนของพุทธ เสริมนโยบาย “1 ลานวัด 1 ตลาดนัดชุมชน” เชื่อมโยงแหล่งชุมชนเข้ากับศาสนา ประกาศก้อง “พร้อมส่งผู้สมัครลงชิง ส.ส. 400 เขตทั่วไทย”
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น พรรคพลังสังคมใหม่ ได้จัดแถลงข่าวเปิดนโยบายพรรคขึ้น โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรคร่วมแถลงจำนวน 4 ท่าน โดย ดร. ชวลิต ขรพงค์กีรติ หัวหน้าพรรพพลังสังคมใหม่ ได้กล่าวแถลงนโยบายว่า การเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศชาติ จะต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมอย่างสูง วันนี้พรรคพลังสังคมใหม่เลยได้นิมนต์ “พระครูปลัดธีรธรรม” มาให้โอวาทพรรคพลังสังคมใหม่ มีนโยบายลดช่องว่างให้พี่น้องประชาชนทราบโดยเน้นเรื่องช่วยคนจนเป็นหลักและเรื่องศาสนา
ทั้งนี้นโยบายแรกที่พรรคพลังสังคมใหม่จะช่วยคนจนคือ UBI คือ ปรับเปลี่ยนฐานรากด้านความคิดใหม่โดยเน้นเรื่องนโยบายพื้นฐานจ่ายถ้วนหน้าให้กับประชาชนทุกเดือนๆ ละ 3,000 บาท ตั้งแต่อายุ 7 ปี ขึ้นไป จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ซึ่งในบางประเทศก็ใช้นโยบายนี้ เมื่อถามว่าเงินนี้มาจากไหน พรรคพลังสังคมใหม่จะนำเงินในส่วนที่อยู่ใต้ดิน โดยเฉพาะเงินจากหวยรัฐบาลหรือหวยใต้ดิน บ่อนชนไก่ และข้อมูลในการจ่ายคนละ 3,000 บาท นั้น โดยการนำข้อมูลจาก จพฐ. (กรมพัฒนาชุมชน) ซึ่งเป็นข้อมูลของรัฐที่มีการเก็บอยู่ตลอด
“ผมได้ลงพื้นที่ได้รับทราบข้อมูลจากประชาชนถึงเรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ไม่มีความเท่าเทียม ทั้งนี้ เพราะเค้าเป็นคนชายขอบไม่สามารถมีอุปกรณ์ในการลงทะเบียนเพื่อเข้าถึงบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นี่คือสาเหตุของความเหลื่อมล้ำของประชาชนซึ่งแตกต่างจากนโยบายของพรรคเราที่ใช้ข้อมูลบนพื้นฐานข้อมูลของรัฐ จพฐ. เมื่อพ้นจากความยากจนเมื่อไหร่ รัฐจะงดจ่าย 3,000 บาท ทันที เราจะจ่ายเฉพาะผู้ที่มีความยากจนซึ่งเป็นคนส่วนมากของประเทศเพื่อให้ทุกคนมีความเท่าเทียมกันและลดความเหลื่อมล้ำ นี่คือนโยบายของพรรค” หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่กล่าวและว่า นอกจากนี้ พรรคยังมีนโยบายที่จะให้มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ โดยจะจัดให้มีกระทรวงพุทธศาสนา เพื่อให้ดูแลกิจการต่างๆ ของสงฆ์และทะนุบำรุงศาสนา ให้เป็นศาสนาของคนไทยทุกคน
โดยนายลำโขง ธารธนศักดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ได้กล่าวเสริมในเรื่องนี้ว่า ถ้าต้องการให้ศาสนาพุทธอยู่กับสังคมไทยยาวนานก็ควรจะมี พรบ. พุทธศาสนา โดยมีกระทรวงพุทธศาสนาซึ่งพรรคพลังสังคมใหม่จะสนับสนุน โดยจัดตั้งให้มีกองทุนขนาดใหญ่เพื่อทะนุบำรุงพุทธศาสนา พระสงฆ์ในเวลาที่ยากลำบาก เจ็บไข้ได้ป่วย และอีกประเด็นหนึ่งที่พรรคให้ความสนใจ คือเรื่องป่าโซน E นั้น อยากจะให้รัฐช่วยดูแลเรื่องพระไปนั่งสมาธิหรือธุดงค์ ณ วันนี้พระกับป่ามีปัญหาอยู่มาก ถ้ามีกระทรวงพุทธศาสนาก็จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ นอกจากนี้จะจัดให้มีวิสาหกิจชุมชนของพุทธ โดยทางพรรคมีนโยบาย “1 ลานวัด 1 ตลาดนัดชุมชน” เพื่อเชื่อมโยงแหล่งชุมชนเข้ากับศาสนาและแก้ปัญหาความยากจน โดยการให้ชุมชนมาจำหน่ายหรือเปิดตลาดในวัด ซึ่งนโยบายนี้ก็สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้เช่นกัน
ด้าน ดร. พรรคนัยน์ รังษ์สุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่กล่าวเพิ่มเติมว่า การลดความเหลื่อมล้ำของพรรคพลังสังคมใหม่ จะเน้นในเรื่องของพนักงานจ่ายเงินให้กับประสังคมทุกวันนี้ เงินในประกันสังคมมีจำนวนมากแต่ขาดการช่วยเหลือครอบครัวของสมาชิกที่จ่าย ซึ่งแตกต่างจากข้าราชการที่รัฐจ่ายดูแล พ่อแม่ สามี แต่ประกันสังคมไม่ว่า ม33, ม39, ม40 กลับไม่ได้ดูแล พ่อแม่ สามีเลย หลังจากเกษียณแล้วก็จะได้เงินเดือนเพียงเดือนละประมาณ 3,000 บาท เท่านั้นเอง ซึ่งตรงจุดนี้ เป็นความเหลื่อมล้ำอย่างมากกับข้าราชการทั้งๆ ที่พนักงานก็เป็นผู้จ่ายภาษีให้กับรัฐเช่นกัน นอกจากนี้พรรคมีนโยบาย “1 อำเภอ 5 โรงงานแปรรูป” เพื่อสร้างเศรษฐกิจชุมชน
ส่วน นายสุโท สร้างคำ เลขาธิการพรรคพลังสังคมใหม่กล่าวว่า พรรคมีนโยบายดูแลผู้สูงอายุเพราะว่าประเทศไทยมีผู้สูงอายุวันนี้เป็นจำนวนมากกว่า 13 ล้านคน แต่ขาดการดูแล ซึ่งพรรคฯ จะให้ความสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุและผู้พิการ โดยจะมีการตั้งกองทุนผู้สูงอายุและผู้พิการแห่งชาติ เพื่อช่วยเหลือในเรื่องสุขภาพเพราะถือเป็นปัญหาหลักของผู้สูงอายุด้วยวิธีการดึงเงินจากต่างประเทศในการตั้งศูนย์ดุแลผู้สูงอายุจากต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตในบั้นปลายชีวิตมาก เพราะเมืองไทยมีวัฒนธรรมที่ดี อากาศที่ดี ธรรมชาติที่ดี ตรงจุดนี้เราสามารถที่จะเป็นฮับในการดูแลผู้สูงอายุทั่วโลก