ผ่ามุมมอง “อัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์” ซีอีโอ “ไทยมาร์ท”
อัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่นส์ (ดูไบ) และ ประธานบริหารไทยมาร์ท บาห์เรน ศูนย์การค้าของประเทศไทยแห่งแรกในตะวันออกกลาง เป็นศูนย์การค้าปลีกและค้าส่ง พื้นที่ประมาณ 1 หมื่นตารางเมตร เป็นแหล่งรวมทุกอย่างที่เป็นของไทย ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม ร้านอาหารไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรม รวมถึงการจัดอีเว้นท์แสดงสินค้าไทย ให้คนในตะวันออกกลางรู้สึกว่าถ้าคิดถึงเมืองไทยก็ขับรถมาเที่ยวหรือซื้อของได้
คุณอัครวุฒิ เล่าถึงเหตุผลในการเปิดไทยมาร์ท บาห์เรน ว่า ตะวันออกกลางเป็นชาติที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยมาก มาแบบปากต่อปาก พอบินกลับทุกคนมีปัญหาเหมือนกันหมดคือไม่สามารถซื้อของกลับบ้านเกินกว่าน้ำหนักที่กำหนด คนตะวันออกกลางชอบสินค้าไทยมาก เพราะฉะนั้นจึงคิดว่านี่คือโอกาส เนื่องจากคนตะวันออกกลางมองไทยเป็นพี่น้อง สินค้าคุณภาพดี ราคาไม่ใช่ปัญหา ความโดดเด่นของไทยมาร์ท ทำให้ขายพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผู้ประกอบการไทยนำสินค้ามาขายแล้วขายได้ ก็อยากมาออกงานอีก จากการทดลองขาย 1 เดือน 2 เดือนก็เพิ่มเวลาเป็นเดือน เป็นปี
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยบางคนบอกว่าพูดภาษาไม่ได้ ไม่กล้านำสินค้าไปขาย คุณอัครวุฒิบอกว่าไม่ใช่ปัญหา เพราะคนจีนมาตะวันออกกลางพูดภาษาไม่ได้หลายคน บางคนมีธุรกิจระดับหลักพันล้าน พูดภาษาไม่ได้ แต่เขาไม่มองเรื่องนี้เป็นอุปสรรคสำหรับเขา ภาษาสมัยนี้ง่ายมาก ใช้กูเกิลทรานสเลตแปลให้
“ผมคุยกับคนจีนฉายขึ้นจอเลยเขาพูดอะไรมาให้ทรานสเลตแปล ต่างคนต่างอดทนในการสื่อสาร เพื่อความเข้าใจตรงกัน สุดท้ายก็เจรจาสำเร็จ” คุณอัครวุฒิแนะนำ
คุณอัครวุฒิ ยังกล่าวถึงความสำเร็จในการนำผู้ประกอบการไทยไปขายสินค้าในไทยมาร์ทว่า ต้องมีความจริงใจกับผู้ประกอบการ รักษาคำพูดในสิ่งที่ทำ เสนออะไรไปก็ทำแบบนั้น ด้วยหลักการพื้นฐานคือคนที่นำสินค้าไปขายต้องขายได้ เราได้เขาได้ เขาได้เราได้ มีคำแนะนำที่ดีให้กับผู้ประกอบการ ถ้าเขาขายดีเราก็จะดีด้วย เพราะฉะนั้นนอกจากการขายพื้นที่ให้ผู้ประกอบการไปออกบูธ ยังต้องมีการช่วยเหลือในด้านการขนของ การเดินทาง การตั้งราคา ฯลฯ
“สิ่งที่ผมเจอบ่อยมากคือผู้ประกอบการมักถามว่าขายอะไรดี ผมก็มักจะตอบว่าคุณถนัดอะไร เพราะว่าโลกนี้คนถนัดไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่าขายอะไรดี ขายอะไรรวย อาจจะเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ เพราะทุกคนเก่งคนละด้าน เพียงแต่ว่าเราจะเอาความเก่งนั้นไปแปรผันอย่างไรให้เกิดธุรกิจเหมาะกับตลาด”
คุณอัครวุฒิกล่าวถึงปัญหาของสินค้าไทยที่ยังไม่แพร่หลายในตะวันออกกลางเพราะว่า คนไทยมักมองว่าตะวันออกกลางอยู่ไกล ไม่คุ้นเคย แต่สำหรับเขามองว่าไปตะวันออกกลางมีโอกาสทางการค้าที่เหมาะกับเมืองไทย เปรียบเทียบอาเซียนหรือเมืองจีนเขามองว่าที่นั่นมีโอกาสมากกว่า กลุ่มประเทศอาเซียนอาจจะเดินทางง่าย ใกล้บ้าน วัฒนธรรมอาหารการกินความเป็นอยู่คล้ายกัน แต่เมื่อมองอีกมุมในทางธุรกิจทุกประเทศต่างก็ผลิตสินค้าคล้ายกัน ทำให้เกิดการแข่งขันสูง ขณะที่เมืองจีนมีคนมาก กำลังซื้อสูง แต่ในบางมุมก็มีขั้นตอนต่าง ๆ มากมาย แต่ที่ตะวันออกกลาง กฎระเบียบไม่ยุ่งยาก ไม่ซับซ้อน
“สมัยก่อนตอนไม่มีโซเชียลมีเดีย คนไทยได้ยินคำว่าตะวันออกกลาง ก็คิดไปอีกแบบ พอมีโลกโซเชียลทำให้เริ่มมองเห็นโอกาส สินค้าเอสเอ็มอีไปแล้วแจ้งเกิดหลายราย อย่างรองเท้าแอโรซอฟท์ขายดีมากในตะวันออกกลาง หรือ โอเรียนทัลปริ้นเซส ก็มีคนหาซื้อตามร้านค้านำไปขายในตะวันออกกลางเต็มไปหมด เพราะคนตะวันออกกลางชอบ หรือ โก๋แก่ จากเดิมในอดีตส่งเป็นแพ็กจากเมืองไทยไปขาย ปัจจุบันทำเป็นร้าน แบรนด์โก๋แก่ทั้งร้านเลย เพราะฉะนั้นตะวันออกกลางสำหรับผมคือเป็นทำเลเหมาะมากๆกับการขยายแบรนด์ไทย โดยเฉพาะสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือคนที่ไม่มีโรงงานเอง ซื้อมาขายไป ตลาดตะวันออกกลางเหมาะสำหรับคนทุนน้อย มีประโยชน์กับกลุ่มเอสเอ็มอีอย่างมาก”
ขณะที่สินค้าขายดีระดับ “ท็อปไฟว์” ในไทยมาร์ทคือ 1. เครื่องประทินผิว บำรุงผิว บำรุงหน้า สบู่ประทินผิว 2.สแน็ค ผลไม้แห้ง 3.อาหารไทย 4.ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ นวดแผนโบราณ และ 5.สินค้าโอทอป
“ผมอยากจะให้ผู้อ่านที่ได้รับข้อมูลนี้ มองเห็นโอกาสการเข้าไปขายสินค้าในตะวันออกกลาง ผมพร้อมเป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล เราเข้าไปทำเรื่องยากๆ ไว้หมดแล้ว ที่เหลือคือเรื่องง่ายๆที่ท่านสามารทถทำได้ ซึ่งในเมืองไทยก็มีออฟฟิศเวก้าฯ เป็นศูนย์ประสานงาน มีทีมงานช่วยดำเนินการตั้งแต่ต้นจนจบ ขอเป็นกำลังใจให้ครับ” ซีอีโอ เวก้าฯ กล่าว
สำหรับกลุ่มประเทศคู่ค้าไทยในตะวันออกกกลางมีจำนวนทั้งหมด 16 ประเทศ แบ่งออกเป็น กลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council : GCC) ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย , คูเวต ,โอมาน ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ,กาตาร์ , และบาห์เรน กลุ่มประเทศอาหรับอื่น ได้แก่ เลบานอน ,จอร์แดน , ซีเรีย ,อิรัก และ เยเมน ส่วนกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่อาหรับ ได้แก่ อิหร่าน ,ตุรกี , ไซปรัส และอิสราเอล มีมูลค่าการค้าระหว่างไทยและตะวันออกกลาง (มกราคม-ตุลาคม 2565) 1,330,144.47 ล้านบาท สินค้าไทยส่งออกไปตะวันออกกลาง 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ , ข้าว , เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ , ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และอัญมณี-เครื่องประดับ
