Monday, 6 May 2024 - 5 : 37 pm
kanda_002
OIC_001
data-no-lazy="1"
kanda_002
OIC_001

ปัญหาคุมแพร่ระบาดโควิดของสหรัฐฯอยู่ตรงไหน

ณ วันที่ 28 มิถุนายนยอดผู้ป่วยโรคโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (โควิค-19) ยอดยืนยันสะสมในสหรัฐอเมริกามีเกิน 34 ล้านราย และยอดผู้เสียชีวิตสะสมเกิน 620,000 รายสูงเป็นอันดับหนึ่งของโลกทั้งที่ประชากรทั้งหมดของสหรัฐมีน้อยกว่า 5% ของประชากรโลกแต่จำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันคิดเป็น 20% ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด และการเสียชีวิตคิดเป็น 16.9% ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด จากการรายงานการวิเคราะห์ที่เผยแพร่ล่าสุด โดยสถาบันสถิติสุขภาพของมหาวิทยาลัยวอชิงตันประมาณการว่ายอดผู้เสียชีวิตที่แท้จริงในสหรัฐอเมริกามีมากกว่า 900,000 รายซึ่งสูงกว่าสถิติที่ทางการนำเสนอมามาก ศาสตราจารย์โมนิกากัน (Monica Gandhi) ด้านการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียวิทยาเขตซานฟรานซิสโกกล่าวว่า “จนถึงขณะนี้เราไม่สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าเราได้ทำการควบคุมการระบาดของโรคโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างเต็มที่สุดเนื่องจากอัตราการเสียชีวิตของเราสูงกว่าที่อื่นๆอีกหลายแห่ง”ชาวอเมริกันได้รับความสูญเสียอย่างแสนสาหัส ทำให้ผู้คนในสหรัฐอเมริกาได้ไตร่ตรองถึงปัญหาของการต่อสู้กับโรคระบาดของสหรัฐอเมริกา

ผู้เชี่ยวชาญที่ขาดแนวร่วมในช่วงเริ่มต้นวิกฤตของการระบาดโรคโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ประธานาธิบดีทรัมป์เชื่อว่าไม่มีความร้ายแรงไปกว่าไข้หวัดใหญ่และกล่าวว่าการระบาดของโรคครั้งใหม่นี้จะสิ้นสุดก่อนเทศกาลอีสเตอร์ ในช่วงเริ่มแรก CDC ของสหรัฐฯบอกกับสื่อว่าการแพร่ระบาดเป็นภัยคุกคามเล็กน้อยต่อสาธารณชนชาวอเมริกัน แต่เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2020โฆษกของ CDC ออกมายอมรับว่า การแพร่ระบาดของโรคโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่มีผล “อย่างร้ายแรง” ต่อชีวิตประจำวัน ทำให้หน่วยงานนี้ถูกลดความสำคัญลงอย่างรวดเร็ว นักไวรัสวิทยาAngela Rasmussen จากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพและความมั่นคงระดับโลกแห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์กล่าวว่า”ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ควบคุมการออกสื่อของ CDC อย่างเข้มงวด “ทำให้CDC และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพชั้นนำของรัฐบาลยากที่จะนำเสนอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องต่อสาธารณะ The New York Times วิเคราะห์ว่า “ความขัดแย้งระหว่างมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจระยะสั้นของสหรัฐอเมริกาเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้รัฐบาลสหรัฐเลือกที่จะ”ห้ามนักวิทยาศาสตร์”แม้ว่าสิ่งนี้จะต้องแลกด้วยสุขภาพของสาธารณชนทั่วไปก็ตาม

ข้อมูลการใส่หน้ากากอนามัยที่ไม่ชัดเจน ถึงแม้ประชาชนโดยทั่วไปจากประเทศต่างๆจะเชื่อว่าหน้ากากอนามัยเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสแต่รัฐบาลสหรัฐฯก็ยังรีรอต่อการส่งเสริมการใช้หน้ากากอนามัยต่อสาธารณชนในช่วงแรกของการแพร่ระบาด WHO และCDC มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัยและหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ มีความเห็นที่ตรงกันเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของหน้ากากอนามัย ประธานาธิบดีทรัมป์ก็ยังคงปฏิเสธที่จะเป็นแบบอย่างในการสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะกลับตรงกันข้ามที่เขาหัวเราะเยาะผู้คนที่สวมหน้ากากอนามัยและผู้สนับสนุนของทรัมป์ก็ปฏิเสธที่จะสวมหน้ากากอนามัยเช่นกัน จากการศึกษาของวารสาร Journal of Natural Medicine เชื่อว่า ถ้าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวตั้งแต่ปี 2020 ถึงปี 2021 หากคนอเมริกันสวมหน้ากากอนามัยจะสามารถช่วยลดการสูญเสียชีวิตผู้คนได้เกือบ130,000 ราย นักข่าวชาวอเมริกันมิเชลโกลด์เบิร์กเขียนบทความว่า “ในขณะที่การแพร่กระจายของโรคโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทวีความรุนแรงมากขึ้นการมองข้ามความรู้ทางวิชาชีพของรัฐบาลและทัศนคติของความจงรักภักดีที่มองไม่เห็นเหนือความสามารถทางเทคโนโลยีได้กลายเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อสุขภาพของคนอเมริกัน ”

.
รัฐบาลปัดความรับผิดชอบ ฝ่ายบริหารของทรัมป์พยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในการควบคุมการระบาดของโรคโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่ได้ผลนักการเมืองบางคนอ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ” การระบาดของโรค ควรต้องโทษประเทศจีน” และเสนอชื่อเรียกของโรคว่า “โรคปอดอักเสบอู่ฮั่น” ซีเอ็นเอ็นรายงานว่าคำพูดเหล่านี้ มีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนเพื่อหลอกลวงประชาชน และพยายามบ่ายเบี่ยงความสนใจจากการวิพากษ์วิจารณ์ผลงานที่ย่ำแย่ของพวกเขาในการควบคุมโรคระบาด The New York Times ได้เปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของทรัมป์ได้กดดันหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯให้เชื่อมโยงโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่กับสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น

การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางสุขภาพการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมด้านการดูแลสุขภาพในสหรัฐอเมริการุนแรงขึ้น คนผิวสีเชื้อสายสเปนและคนผิวสีอื่นๆมีอัตราการเสียชีวิตจากโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่สูงกว่าเนื่องจากคนผิวสีจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงการรักษาและมาตรการป้องกันเช่นการลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างหรือค่าชดเชย ตามข้อมูลที่เผยแพร่โดย Public Media Research Laboratory ในสหรัฐอเมริกา ชาวพื้นเมืองทุกๆ 595 รายและชาวแอฟริกันอเมริกัน 735 ราย จะเสียชีวิตจากโควิค-19 โดยเฉลี่ย 1 ราย คนผิวขาวกลับเสียชีวิต 1 ราย ในทุกๆ 1,030 ราย

ตามข้อมูลจากมูลนิธิครอบครัวไกเซอร์แสดงให้เห็นว่า ชนกลุ่มน้อยในสหรัฐอเมริกาได้รับวัคซีนน้อยกว่าคนผิวขาวเป็นจำนวนมากในบรรดาคนผิวขาว 25% จะได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งครั้งในขณะที่สัดส่วนของชาวแอฟริกันอเมริกันและฮิสแปนิกอยู่ที่ 15% และ 13% ตามลำดับ

Kaitlyn Rivers นักระบาดวิทยาจากศูนย์สุขภาพและความปลอดภัยของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์กล่าวว่า ” ข้าพเจ้าคิดว่าการระบาดใหญ่ของโรคโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันเหล่านี้บางส่วน…”

© 2021 thairemark.com