Monday, 7 October 2024 - 10 : 02 pm
kanda_002
OIC_001
data-no-lazy="1"
kanda_002
OIC_001

โศกนาฎกรรมกราดยิงโคราช-หนองบัวลำภู ช็อคโลก เหตุสุดสะเทือนขวัญ…บทเรียนที่ยังไม่จบ…นี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย

กลายเป็นเหตุการณ์เขย่าขวัญสะเทือนใจคนไทยชนิดไม่มีวันลืมจากกรณี “จ่าสิบเอก จักรพันธ์ ถมมา” ใช้อาวุธสงครามกราดยิงสนั่นในพื้นที่ทหารจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 หลังจากใช้ปืนยิงผู้บังคับบัญชาและญาติถึงแก่ความตาย แล้วหลบหนีเข้ามาในตัวเมืองพร้อมกราดยิงผู้คนตามรายทางอย่างบ้าคลั่ง ก่อนเข้าไปซ่อนตัวหลบอยู่ในห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช อีกทั้งยังจับบุคคลที่เดินช้อปปิ้งในห้างเป็นตัวประกันเสมือนในหนัง

แค่นั้นยังไม่สะใจ”จ่าสิบเอกจักรพันธ์ยังไลฟ์สดตนเองเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กของตนตลอดเวลา จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมในช่วงเช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 โดยเหตุการณ์โศกนาฎกรรมครั้งนั้นทำให้มีผู้เสียชีวิต 31 คน บาดเจ็บ 58 คน ในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัส 32 คนซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์กราดยิงที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย

ย้อนรอยเหตุการณ์ในวันนั้นเริ่มขึ้นเวลาประมาณ 15.30 น. ของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 จ่าสิบเอก จักรพันธ์ ใช้ปืนยิงผู้บังคับบัญชา คือ “พันเอก อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ “อายุ 48 ปี ผู้บังคับกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 และ”นางอนงค์ มิตรจันทร์” อายุ 65 ปี แม่ยายของพันเอก อนันต์ฐโรจน์ ถึงแก่ความตายที่บ้านพักในตำบลหนองจะบก อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา

หลังจากก่อเหตุสลด “จ่าสิบเอก จักรพันธ์”เกิดอาการสติแตก ไปชิงอาวุธสงครามออกมาจากคลังอาวุธกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ตำบลไชยมงคล โดยยิงทหารเวรกองรักษาการณ์ และทหารดูแลคลังอาวุธ มีพลทหารบาดเจ็บ 1 นาย เสียชีวิตอีก 1 นาย และต่อมา จ่าสิบเอก จักรพันธ์ ขับรถฮัมวีหลบหนีออกไปทางด้านหลังค่าย มุ่งไปทางวัดป่าศรัทธารวม ตำบลหัวทะเล เพราะทราบว่าภรรยาของผู้บังคับบัญชาออกไปทำบุญที่วัดป่าศรัทธารวม แต่ระหว่างขับรถไปนั้นได้กราดยิงผู้คนตามรายทางถึงแก่ความตายรวม 9 คน คนร้ายกราดยิงกระสุนนับร้อยนัด โดยยิงคนในรถเสียชีวิตและบาดเจ็บ ยังยิงเด็กนักเรียนที่ขับขี่รถจักรยานยนต์และยังเดินไปยิงซ้ำอีก จากนั้นมีตำรวจมา 2 นาย ไม่ทันลงจากรถก็ถูกยิงจนพรุนเสียชีวิต แต่ปรากฏว่า ได้ทราบว่า ภรรยาของผู้บังคับบัญชาไปกินข้าวที่เทอร์มินอล 21 โคราช

จ่าสิบเอก จักรพันธ์ จึงได้ขับรถเข้าไปในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา มุ่งไปที่ห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 โคราช ซึ่งอยู่ที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา โดยกราดยิงผู้คนตามรายทาง และจับผู้คนในห้างเป็นตัวประกัน ทั้งยิงถังแก๊ส ทำให้เกิดระเบิดและเพลิงลุกไหม้ในห้าง จ่าสิบเอก จักรพันธ์ ยังถ่ายทอดสดตนเองขณะก่อเหตุลงเฟซบุ๊กของตัวเอง

จากข้อมูลที่สำคัญของเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นนั้น มาจากข้อพิพาทเกี่ยวกับเรื่องเงินและการซื้อขายบ้านที่ผู้ก่อเหตุซื้อจากนางอนงค์ รวมถึงคำยืนยันจากพลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่ระบุว่าทหารผู้ก่อเหตุ “ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ” จึงเป็นเหตุนำไปสู่การหาความจริงเกี่ยวกับธุรกิจของนางอนงค์ พบว่ามีการทำเป็นขบวนการ คือ เจ้าของโครงการบ้านจัดสรรที่เป็นเครือญาติของนายทหารนำโครงการมาเสนอขายให้ทหารชั้นผู้น้อยในราคาถูก จากนั้นจัดหาเจ้าหน้าที่มาดูแลด้านการอนุมัติเงินกู้ของกรมสวัสดิการทหารบกมาประเมินราคาบ้านให้สูงกว่าความเป็นจริงเพื่อขออนุมัติเงินกู้ในวงเงินที่สูง ๆ โดยผู้บังคับบัญชาเซ็นหนังสือรับรองเพื่อให้อนุมัติเงินได้ง่ายขึ้น แต่ทางกองทัพบกออกมา ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีขบวนการเงินทอน กองทัพและกรมสวัสดิการทหารบกไม่ได้ประโยชน์จากเงินส่วนต่างในการกู้เงิน และเชื่อว่าความขัดแย้งนี้เป็นเรื่องของตัวบุคคลจึงกลายเป็นเหตุโศกนาฎกรรมครั้งนั้น

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์โศกนาฎกรรมดังกล่าวแม้ว่าผ่านพ้นไปนานกว่า 2 ปี แต่ยังอยู่ในความทรงจำของสังคมไทยไม่รู้ลืม ทว่าประชาชนชาวไทยทั้งชาติต้องกลับมาช็อกทั้งโลกอีกครั้งเมื่อ “ส.ต.อ.ปัญญา คำราบ” อายุ 34 ปี อดีต ผบ.หมู่ ป.สภ.นาวัง ถูกไล่ออกจากราชการเนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเสพยาเสพติดบวกกับความเครียดสะสมกลายเป็นชนวนเหตุทำให้อดีต ผบ.หมู่ ป.สภ.นาวัง ก่อเหตุสลดบุกศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ใช้อาวุธปืนกราดยิงและใช้มีดฟันทำให้ มีผู้เสียชีวิตทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่จำนวน 38 ราย เจ็บอีก 12 คน โดยโศกนาฏกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 12.45 น. วันที่ 6 ต.ค. 2565โดยมีพฤติกรรมก่อเหตุสลดคล้ายกับจ่าสิบเอกจักรพันธ์หลังจากยิ่งลูกเมียและลูกเสียชีวิตแล้ว อดีตตำรวจนายนี้เกิดสติแตกขับรถกระบะ 4 ประตูออกจากไปยังศูนย์เด็กเล็กอบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู เจอใครยิงดะเสียชีวิตก่อนบุกเข้าในศูนย์เด็กเล็ก 3 ศพ จากนั้นบุกใช้มีดเชือด ฟัน เด็ก เสียชีวิต 22 คนและครูอีก 2 นาย เด็กรอดตายปฎิหารย์ 1 คน หลังจากก่อเหตุช็อคโลกแล้วอดีตตำรวจนายนี้ขับรถกลับเห็นใครเดินผ่านหรือขับจยย.ยิงเสียชีวิตอีกหลายราย เมื่อสะแก่ใจแล้วกลับบ้านเข้ากอดศพลุกเมียก่อนใช้ปืนจ่อขมับเสียชีวิตตาม

อย่างไรก็ตามมูลเหตุเกิดโศกนาฎกรรมครั้งล่าสุดสร้างความคลางแคลงใจแก่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศเพราะอยากรู้ชนวนเหตุที่ต้องฆ่าคนจำนวนมากมาจากปมเหตุอะไรกันแน่ ซึ่งก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับสังคมไทยได้เนื่องจาก”ส.ต.อ.ปัญญา”ชิงฆ่าตัวตายเสียก่อน ดังนั้นเพื่อให้สังคมไทยได้คลายแคลงสงสัยได้บ้างจึงสอบถามไปยัง รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดีและประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัยรังสิต พร้อมระบุว่าเหตุการณ์กราดยิงที่ จ.หนองบัวลำภู มีผู้เสียชีวิต 38 คน ซึ่งไม่คิดว่าจะเกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้นอีกในสังคมไทย หลังจากเหตุการณ์กราดยิงโคราช เมื่อปี 2563 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 31 คน

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ กล่าวว่า จากการวิเคราะห์ตัวผู้ก่อเหตุ เคยเป็นอดีตตำรวจที่ถูกไล่ออกจากราชการ ทำให้เชี่ยวชาญใช้อาวุธปืน ประกอบกับมีการใช้สารเสพติด จนถูกดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญา ซึ่งอดีตตำรวจรายนี้เสพยามาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม อาจทำให้มีผลต่อระบบสมองโดยตรง ส่งผลต่อความคิดและการตัดสินใจ ในส่วนนี้สามารถตรวจพิสูจน์จากเลือดของผู้ก่อเหตุได้ ประกอบกับความเครียดจากการถูกไล่ออกจากงาน อาจทำให้เกิดความคับแค้นที่เหมือนระเบิดเวลา แต่ยังต้องศึกษาและสืบสวนเชิงลึก ว่าอะไรที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการคับแค้นถึงขั้นก่อเหตุกับผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง และในศูนย์เด็กเล็กที่ไม่เกี่ยวกับสายงาน

จากข้อมูลที่มีการรายงานจากสื่อ พบว่า ผู้ก่อเหตุมีพฤติกรรมที่เป็นสัญญาณ เช่น ยิงปืนขึ้นฟ้า ก้าวร้าว ไม่เคารพผู้บังคับบัญชา พัวพันยาเสพติด รวมทั้งมีปัญหาครอบครัว จุดนี้เป็นสัญญาณที่แสดงถึงปูมหลังได้บางส่วน

การเลือกก่อเหตุในศูนย์เด็กเล็ก

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ กล่าวว่า กรณีเด็กเป็นกลุ่มเปราะบาง โอกาสต่อสู้ยาก ประกอบการใช้สารเสพติดร่วมด้วยก่อนก่อเหตุ และเป็นสถานที่ที่เขาเคยมารู้ทางหนีทีไล่ดี ส่วนการที่ไม่เลือกก่อเหตุในสถานีตำรวจที่เคยทำงาน หรือหน่วยราชการ เพราะรู้ว่าเจ้าหน้าที่ก็มีอาวุธ โอกาสถูกตอบโต้เป็นไปได้สูง และเคสนี้อาจจะไม่คิดถึงขั้นฆ่าตัวตาย เพราะมีการเผารถตัวเอง โดยทั่วไปเพื่อทำลายหลักฐานลายนิ้วมือเลือด

ข้อสังเกตเรื่องการครอบครองอาวุธปืน

รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ กล่าวต่อว่า จากนี้ไปควรต้องสแกนคนที่ครอบครองอาวุธปืน โดยเฉพาะข้าราชการอาจต้องมีการตรวจสุขภาพจิต ประวัติการก่ออาชญากรรม หมายความว่าต้องตรวจสุขภาพจิตก่อนได้รับใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืน ส่วนปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นปืนส่วนตัว หลังจากออกจากราชการ แต่เรื่องการหาซื้อกระสุนปืนที่หาซื้อตั้งแต่รับราชการหรือไม่ ควรต้องทบทวนการจำกัดการซื้อกระสุนปืน จึงเป็นช่องว่างที่ถูกนำไปใช้ก่อเหตุ ซึ่งในญี่ปุ่น การที่คนจะครอบครองและซื้อกระสุนปืน จะมาซื้อเพิ่มต้องนำปลอกที่ใช้แล้วมาด้วย ถึงจะได้กระสุนใหม่ไป แต่ความแตกต่างจากเหตุกราดยิงโคราช เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นข้าราชการทหาร และใช้อาวุธปืนราชการที่ชิงมาจากคลังอาวุธ ส่วนกรณีหนองบัวลำภู เป็นอดีตข้าราชการตำรวจ

ความเหมือนกันคือเป็นข้าราชการที่ฝึกฝนการใช้อาวุธปืน แต่ความต่างคือเป็นข้าราชการที่ถูกไล่ออกเพราะยาเสพติด ประเด็นนี้ต้องถอดบทเรียนเรื่องการครอบครองอาวุธปืน กระสุนปืน แบบถูกกฎหมาย และการไล่ออกจากราชการเพราะยาเสพติดแล้วจบนั้นไม่ใช่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องนัก ควรหามาตรการอื่นมารองรับ

© 2021 thairemark.com