Sunday, 1 June 2025 - 6 : 03 am
kanda_002
OIC_001
data-no-lazy="1"
kanda_002
OIC_001

งบฯ มา…ปลา “ผุด”..เร่งจับปลาหมอคางดำออกจากบ่อเลี้ยง-บ่อร้าง ควบคุมการแพร่ระบาด

แม้ภาครัฐจะเปิดโครงการรับซื้อปลาหมอคางดำ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่การเร่งจับปลากลับมาคึกคักทุกครั้งและจับปลาได้จำนวนมากในหลายจังหวัดเฉพาะ “ช่วงที่มีงบประมาณ” เท่านั้น ทั้งที่การควบคุมพันธุ์ต่างถิ่นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างต่อเนื่องและจริงจังจากเกษตรกรทุกพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่มีบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำและบ่อร้างในบริเวณใกล้เคียง หากพบปลาหมอคางดำในพื้นที่ของตน ไม่ควรรอรอบโครงการรับซื้อปลาของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเร่งจับหรือแจ้งเจ้าหน้าที่รัฐทันที เพื่อหยุดยั้งวงจรการขยายพันธุ์ และลดปริมาณปลาในระบบนิเวศธรรมชาติให้เหลือน้อยที่สุด

อย่างไรก็ตาม จากกรณีการจับปลาหมอคางดำที่เขตบางขุนเทียน ได้มากกว่า 1,300 กิโลกรัม ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงข้อมูลจากภาคสนามในหลายจังหวัด พบข้อเท็จจริงที่น่ากังวล คือ ปลาหมอคางดำจำนวนมากไม่ได้มาจากแหล่งน้ำธรรมชาติทั้งหมด แต่ส่วนหนึ่งมาจากบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกร นั่นหมายความ ว่า ยังมีเกษตรกรจำนวนไม่น้อยที่ปล่อยให้ปลาหมอคางดำเจริญเติบโตในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำของตนเองโดยไม่จับปลาออก แม้จะตระหนักถึงอันตรายต่อระบบนิเวศและความพยายามของรัฐในการควบคุมก็ตาม

มาตรการรับซื้อปลาหมอคางดำของรัฐในราคากิโลกรัมละ 15 บาท มีเป้าหมายชัดเจน คือ สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนช่วยกันจับปลาต่างถิ่นชนิดนี้ออกจากระบบน้ำธรรมชาติ แต่เมื่อกลายเป็นว่า บ่อเลี้ยงสัตว์น้ำและบ่อร้างจำนวนมากยังคงมีการสะสมและปล่อยให้ปลาหมอคางดำขยายพันธุ์อย่างเงียบๆ โดยไม่ดำเนินการกำจัดหรือกรองน้ำเข้าบ่ออย่างรัดกุม ก็เท่ากับว่าเกษตรกรที่ปล่อยปละละเลยเหล่านี้กำลัง “ปล่อยปลาเพื่อรอเงิน” มากกว่าจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหา

พฤติกรรมลักษณะนี้อันตรายยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่ทำให้การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำไม่สิ้นสุด แต่ยังส่งสัญญาณผิดไปยังนโยบายของรัฐว่า “ยิ่งแจก ยิ่งมีแรงจูงใจในการเก็บปลาไว้เพื่อขายในอนาคต” เกษตรกรบางรายเก็บเงียบ ไม่แจ้งกรมประมง ไม่จัดการบ่อร้าง และรอเพียงรอบต่อไปของโครงการรัฐที่จะกลับมาเปิดรับซื้ออีกครั้ง

จุดอ่อนของระบบ คือ บ่อร้างจำนวนมากในพื้นที่เกษตรเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เงียบและเป็นจุดเสี่ยงสูงสุด แต่กลับอยู่นอกสายตาเจ้าหน้าที่ ด้วยเหตุผลทางกรรมสิทธิ์และการขาดกลไกติดตามเชิงรุก บ่อเหล่านี้กลายเป็น “อ่างฟักไข่ตามธรรมชาติ” ของปลาหมอคางดำ — เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำจากบ่อเหล่านี้ไหลเข้าสู่แหล่งน้ำสาธารณะโดยไม่มีการกรอง ไม่มีการกำจัดตัวเต็มวัยหรือลูกปลา จึงกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดชั้นดีของปลาหมอคางดำ ยิ่งตอกย้ำข้อเท็จจริงที่ว่า ตราบใดที่รัฐยังต้องรอความร่วมมือโดยสมัครใจ และไม่มีมาตรการบังคับทางกฎหมายหรือกลไกติดตามจริงจัง ปลาหมอคางดำจะไม่มีวันหมดจากระบบนิเวศของไทย

ถ้ามีการคิดใหม่ร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชนและชุมชน ด้วยการเปลี่ยน “การช่วยเหลือ” เป็น “ความรับผิดชอบร่วม” เกษตรกรคือ ผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในแนวหน้าของการควบคุมสัตว์น้ำต่างถิ่น เปลี่ยนการสนับสนุนที่จะกลายเป็นช่องทางเรียกร้องผลประโยชน์ซ้ำซาก หรือควรเปลี่ยนแนวทางไปสู่การมีส่วนร่วมเชิงรุกและรับผิดชอบร่วมกันในการกำจัดปลาออกจากแหล่งน้ำและร่วมกันกู้สมดุลธรรมชาติให้กลับคืนมา 

เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำตามอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลตามเป้าหมายที่กำหนดในปี 2567- 2570 กำจัดปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติและบ่อเลี้ยงด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมและกากชา รวมถึงการปล่อยปลาผู้ล่าอย่างต่อเนื่อง และปล่อยปลาผู้ล่าในแหล่งน้ำไม่น้อยกว่า 5 ล้านตัว ในพื้นที่เป้าหมาย 16 จังหวัด มุ่งเน้นการจัดหาพันธุ์ปลาผู้ล่าที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่ รัฐควรพิจารณามาตรการเหล่านี้อย่างเร่งด่วน :

• กำหนดให้เกษตรกรขึ้นทะเบียนสัตว์น้ำในบ่อ หากพบปลาหมอคางดำในบ่อ ต้องมีแผนควบคุมและต้องมีบทลงโทษ และต้องกำจัดปลาให้หมดภายในระยะเวลาที่กำหนด
• เจ้าหน้าที่ประมงท้องถิ่นสุ่มตรวจบ่อร้างและบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่เสี่ยงสูง พร้อมรายงานต่อหน่วยงานจังหวัด
• รัฐต้องมีระบบติดตามและตรวจสอบเชิงรุก
• ตัดสิทธิ์โครงการสนับสนุน สำหรับผู้ที่พบว่ามีการเก็บปลาหมอคางดำไว้โดยไม่แจ้งหรือไม่ดำเนินการจัดการตามที่ตกลง
• ส่งเสริมระบบ “การจัดการประชากรปลา” ให้ต่ำพอที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ แทนการรับซื้อซ้ำซ้อน เช่น การนำไปใช้ผลิตอาหารสัตว์ หรือปุ๋ยชีวภาพ โดยไม่มีแรงจูงใจทางการเงินเฉพาะหน้า

การจัดการปัญหาปลาหมอคางดำ ทุกฝ่ายในระบบเกษตรกรรมและทรัพยากรน้ำของประเทศต้องทำหน้าที่ร่วมกัน หากเกษตรกรยังเลือกจะนิ่งเฉย ปล่อยปลาไว้ในบ่อหวังขายต่อไป คงไม่มีโครงการใดในโลกนี้ที่จะจัดการปลาหมอคางดำได้สำเร็จ ความร่วมมือที่แท้จริงต้องเริ่มจากความรับผิดชอบซึ่งไม่ใช่เพียงการรอคิวขายปลา หากแต่คือเมื่อไหร่ก็ตามที่เจอปลา ต้องจับและแจ้งให้หน่วยงานรัฐเข้าไปดำเนินการตามหลักวิชาการ ให้ระบบจัดการและกำจัดปลาหมอคางดำเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมให้อยู่ในพื้นที่จำกัดและไม่ขยายพันธุ์เพิ่มขึ้น./

โดย : บดินทร์ สิงหาศัพท์ นักวิชาการอิสระด้านสิ่งแวดล้อม 

© 2021 thairemark.com