Monday, 18 August 2025 - 6 : 10 pm
68.06.09-ส่งเว็บremark-320x100px_CREai
OIC_001
data-no-lazy="1"
68.06.09-ส่งเว็บremark-320x100px_CREai
OIC_001

คดี “ลุงพล” จาก “ผู้ต้องสงสัย” สู่ “เซเลบ” จาก “เซเลบ” สู่ “จำเลย” สังคมไทยได้อะไร ?

คดีการเสียชีวิตของเด็กหญิง อ. หรือ “น้องชมพู่” วัย 3 ปีเศษ เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ได้รับความสนใจจากสังคมไทยอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีของ นายไชย์พล วิภา หรือ  “ลุงพล” ซึ่งผันตัวจาก “ผู้ต้องสงสัย” กลายมาเป็น “เซเลบริตี้” บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสังคม ก่อนจะถูกดำเนินคดีในฐานะ “จำเลย” ในที่สุด บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงข้อพิรุธและพยานหลักฐานสำคัญที่นำไปสู่การตัดสินจำคุกลุงพล รวมถึงสิ่งที่คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการยุติธรรมและสังคมไทย

การเดินทางจาก “ผู้ต้องสงสัย” สู่ “จำเลย” : พยานหลักฐานและข้อพิรุธ

คดี “น้องชมพู่” เริ่มต้นขึ้นเมื่อเด็กหญิงหายตัวไปจากบริเวณหน้าบ้านพัก และต่อมาพบศพอยู่บนเขา “ ภูเหล็กไฟ”  ห่างจากจุดที่พบเห็นครั้งสุดท้ายประมาณ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งเป็นทางลาดชัน การที่เด็กอายุเพียง 3 ปีเศษ ไม่สามารถเดินขึ้นไปถึงจุดดังกล่าวได้เอง ประกอบกับการพบเส้นผมของผู้ตายหลายเส้นที่มีรอยถูกตัดด้วยของแข็งมีคม ทำให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่า “ มีคนร้ายพาผู้ตายไป”
การสืบสวนไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ “ลุงพล” ตั้งแต่แรก แต่เป็นผลมาจากการรวบรวมพยานหลักฐานอย่างเป็นลำดับ โดยมีข้อพิรุธและพยานหลักฐานสำคัญที่ชี้ไปที่นายไชย์พล ดังนี้:

 ความไม่ชัดเจนเรื่องสถานที่อยู่และโทรศัพท์เคลื่อนที่ : ในวันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 09.00 น. น้องชมพู่เล่นอยู่บริเวณหน้าบ้านพักและหายตัวไปก่อนเวลา 09.50 น. โดยไม่มีเสียงร้องไห้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนกลุ่มบุคคลใกล้ชิด 14 คน พบว่า 13 คนมีหลักฐานยืนยันที่อยู่หรือตำแหน่งอ้างอิงจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ชัดเจน ยกเว้นจำเลยที่ 1 (ลุงพล) ซึ่งไม่สามารถยืนยันฐานที่อยู่ได้แน่ชัดในเวลาที่ผู้ตายหายตัวไป

 คำให้การที่น่าสงสัย:

      ลุงพล ให้การกับเจ้าพนักงานตำรวจว่า ภรรยา (จำเลยที่ 2) โทรศัพท์แจ้งเรื่องน้องชมพู่หายตัวไป ขณะที่ ลุงพล กำลังเดินทางไปวัดถ้ำภูผาแอก เพื่อรับพระ ส. แต่ครอบครัวของลุงพลมีโทรศัพท์เคลื่อนที่เพียงเครื่องเดียว ซึ่งอยู่กับภรรยา จึงเป็นไปไม่ได้ที่ภรรยาจะโทรศัพท์แจ้งเรื่องแก่       ลุงพล
     พระ บ. ซึ่งจำวัดอยู่ที่วัดถ้ำภูผาแอก ยืนยันว่า เวลาประมาณ 10.00 น. ลุงพลเดินทางไปถึงวัดและพูดว่า “หลานหายเกือบไม่ได้ไปส่งพระ” ทั้งที่ในขณะนั้นลุงพลไม่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ติดตัวและไม่น่าจะทราบเรื่องการหายตัวไปของน้องชมพู่

 ความพยายามพูดคุยกับพยาน : พยานโจทก์ปากนาย ว. และนาง พ. ให้การในชั้นสอบสวนว่า เห็นลุงพลอยู่บริเวณสวนยางพารา ซึ่งเป็นทางเดินที่สามารถเข้าถึงจุดที่ผู้ตายหายตัวไป ในช่วงเวลาที่คนร้ายลงมือกระทำความผิด ลุงพล พยายามไปพูดคุยกับนาย ว. เพื่อให้นาย ว. บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่าพบลุงพลในช่วงเวลา 07.00 น. ไม่ใช่ช่วงเวลาเกิดเหตุ ซึ่งศาลมองว่าเป็นข้อพิรุธอย่างยิ่ง แม้ต่อมานาง พ. จะกลับคำให้การในชั้นสืบพยาน แต่ศาลยังให้น้ำหนักกับคำให้การในชั้นสอบสวนมากกว่า เนื่องจากเป็นการกลับคำภายหลังเกิดเหตุไปกว่า 2 ปี

หลักฐานเส้นผมในรถยนต์ : ภายหลังเจ้าพนักงานตำรวจตั้งข้อสงสัย ลุงพลถูกเข้าตรวจค้นรถยนต์ และพบเส้นผม 16 เส้น ผลการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์และคำเบิกความของผู้เชี่ยวชาญ          ระบุว่า 
“ เส้นผม 1 เส้น ที่ตกอยู่ในรถยนต์ของลุงพล มีองศาของรอยตัด หน้าตัด และพื้นผิวด้านข้าง ตรงกันกับเส้นผมผู้ตาย 2 เส้น ที่ตรวจเก็บได้จาก  บริเวณที่พบศพผู้ตาย เส้นผมทั้ง 3 เส้นดังกล่าวจึงเชื่อว่า ถูกตัดในคราวเดียวกัน ด้วยวัตถุของแข็งมีคมชนิดเดียวกัน”
ด้วยพยานหลักฐานและข้อพิรุธเหล่านี้ ศาลจึงเชื่อว่า นายไชย์พล (ลุงพล) เป็นคนร้ายที่พาน้องชมพู่ขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ

บทกฎหมายและคำพิพากษา

คดีนี้มีการพิจารณา และมีคำพิพากษาจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งนำไปสู่การลงโทษนายไชย์พลในข้อหาที่แตกต่างกัน:

คำพิพากษาศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดมุกดาหาร) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566: พิพากษาว่า นายไชย์พล วิภา (ลุงพล) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และ มาตรา 317         วรรคแรก.
     ฐาน “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” (มาตรา 291) จำคุก 10 ปี
 ศาลเห็นว่า จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตาย จึงไม่น่ามีเจตนาฆ่าหรือทอดทิ้ง แต่จากการตรวจสอบศพพบรอยช้ำใต้หนังศีรษะ อาจเป็นไปได้ที่ผู้ตายหมดสติไปแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ได้ตรวจดูให้ดี จึงนำไปทิ้งไว้บนเขา.

      ฐาน “พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปีไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร” (มาตรา 317 วรรคแรก) จำคุก 10 ปี.

     รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี.
     สำหรับข้อหาอื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 ให้ “ยกฟ้อง”  รวมถึง ข้อหาร่วมกันเคลื่อนย้ายศพ เพราะไม่มีพยานเห็นจำเลยทั้งสองขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ และแม้พบ mtDNA ( Mitochondrial DNA ) ของจำเลยที่ 2 บนเส้นผม แต่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ชัดเจน.
      และพิพากษา “ ยกฟ้อง”  นางสาวสมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” (จำเลยที่ 2) ทุกข้อหา.

     อย่างไรก็ตาม คดีนี้ปรากฎว่า อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร มีความเห็นแย้งว่า “ พยานหลักฐานของโจทก์มีข้อสงสัยตามสมควร ควรกำหนดให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 1 และพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วย ” 

ต่อมา เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568  ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้มีคำพิพากษาให้ “แก้” โดยให้เพิ่มโทษ นายไชย์พล วิภา (ลุงพล)  รวมจำคุก 26 ปี และ “แก้” ฐานความผิดด้วย ดังนี้

      ฐาน “ ฆ่าผู้อื่นโดยเล็งเห็นผล” จำคุก 15 ปี. (ข้อหานี้แตกต่างจากศาลชั้นต้นที่ตัดสินข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย)
     ฐาน “พรากเด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา” จำคุก 10 ปี.
     ฐาน “กระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น”  จำคุก 1 ปี. (ข้อหานี้ศาลชั้นต้นยกฟ้อง)
     สำหรับป้าแต๋น (จำเลยที่ 2) ศาลอุทธรณ์ยังคงพิพากษา “ ยกฟ้อง”ตามศาลชั้นต้น

 คำสั่งศาลฎีกาเกี่ยวกับคำร้องขอประกันตัว:

    ศาลฎีกายังไม่ได้พิจารณาในเนื้อหาคดี แต่ได้มีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว นายไชย์พล วิภา ในระหว่างการฎีกา.
     เหตุผลที่ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัวคือ “ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงกระทบต่อสังคม และเป็นการลงโทษสถานหนัก (จำคุก 26 ปี). นอกจากนี้ ยังเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง จังหวัดมุกดาหารอยู่ใกล้ชายแดน และจำเลยมีฐานะทางการเงินดี การหลบหนีจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ผลและกระบวนการยุติธรรมขาดความน่าเชื่อถือ”

คดีลุงพลให้อะไรกับสังคมไทย
คดีน้องชมพู่และเรื่องราวของลุงพลนี้ ไม่ใช่เพียงแค่คดีอาชญากรรม แต่ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่ให้บทเรียนหลายประการ:

 บทบาทของสื่อและกระแสสังคม : คดีนี้จุดประกายความสนใจของประชาชนอย่างมหาศาล ทำให้ลุงพลกลายเป็น ” เซเลบ” ชั่วข้ามคืน แสดงให้เห็นถึง “ พลังของสื่อ” และ “กระแสสังคม” ที่สามารถส่งผลต่อการรับรู้ของสาธารณชนต่อผู้ต้องหาหรือจำเลย อย่างไรก็ตาม การตัดสินของศาลยึดตามพยานหลักฐานทางกฎหมายเป็นสำคัญ.

 ความสำคัญของนิติวิทยาศาสตร์: ผลการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะหลักฐานเส้นผมที่พบในรถของลุงพลและในที่เกิดเหตุ ถือเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่มัดตัวจำเลย ตอกย้ำถึงความจำเป็นของการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในการไขคดีอาชญากรรม.

 น้ำหนักของคำให้การและพฤติกรรมในชั้นสอบสวน: คำให้การที่สอดคล้องหรือไม่สอดคล้องกัน รวมถึงความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงคำให้การของพยาน หรือพฤติกรรมที่น่าสงสัยในระหว่างการสืบสวน ล้วนมีน้ำหนักในการพิจารณาของศาล.
กลไกการถ่วงดุลของกระบวนการยุติธรรม: การมีคำเห็นแย้งของอธิบดีผู้พิพากษาภาคและผู้พิพากษาหัวหน้าศาลในชั้นต้น รวมถึงการที่คดีต้องเข้าสู่กระบวนการอุทธรณ์และฎีกา แสดงให้เห็นถึงกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลในระบบศาล เพื่อให้มั่นใจว่าการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรอบคอบและยุติธรรมที่สุด.

 หลักการเรื่องการให้ประกันตัว: การที่ศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ประกันตัวลุงพล สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มงวดของศาลในคดีที่มีอัตราโทษสูงและเป็นคดีที่กระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง เพื่อป้องกันการหลบหนีและรักษาความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม.

 การแสวงหาความยุติธรรมสำหรับผู้เสียหาย: แม้จะเป็นคดีที่ซับซ้อนและยาวนาน แต่กระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินไปเพื่อแสวงหาความจริงและนำตัวผู้กระทำผิดมารับโทษ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหายและครอบครัว

การที่ ศาลอุทธรณ์พิพากษา “ แก้ ” ทั้ง “ฐานความผิด” และ แก้ “โทษ” ( ให้หนักขึ้น )  
จาก “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”
 สู่ “การกระทำโดยเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล ”  
จาก “ยกฟ้อง” สู่การ “ลงโทษ”   ฐาน “ กระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น” 

เกิดจาก การที่ “ พนักงานอัยการโจทก์  และ “ อัยการศาลสูง ”  ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงได้ยื่น “อุทธรณ์” ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำฟ้องโจทก์ เพื่อให้จำเลยได้รับโทษในสิ่งที่ได้กระทำ และคืนความเป็นธรรมให้แก่ครอบครัวน้องชมพู่ และ สังคม

 ที่สำคัญ ต้องเกิดจากการ “พนักงานสอบสวนคดีนี้” ได้มุ่งมั่นและทุ่มเทสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานจนพบ พยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่นำไปสู่การลงโทษจำเลยในคดีนี้ และ การที่พนักงานอัยการประจำศาลชั้นต้น ที่มุ่งมั่น “ สืบพยานหลักฐาน” จนศาลอุทธรณ์เชื่อมั่นในพยานหลักฐานของโจทก์ที่ได้นำสืบมาแล้ว จึงได้มีคำพิพากษา “ แก้” ฐานความผิดและแก้โทษดังกล่าว

คงต้องรอดูต่อไปว่า บทสรุปสุดท้ายของคดีนี้จะเป็นอย่างไร เชื่อว่า ลุงพล (จำเลย) คงใช้สิทธิฎีกาขอให้ศาลฎีกา ซึ่งเป็นศาลสุดท้ายพิจารณาพิพากษาต่อไป

จึงเห็นว่า คดี “น้องชมพู่” และการเดินทางทางกฎหมายของ “ลุงพล” เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญสำหรับสังคมไทย ไม่เพียงแต่ในมิติของคดีอาชญากรรมและการบังคับใช้กฎหมาย แต่ยังรวมถึงบทบาทของสื่อมวลชน พลังของสังคมออนไลน์ และความซับซ้อนของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และพฤติการณ์แวดล้อมในการตัดสินคดีที่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวาง

โดย…นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ
(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ในคณะกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร                    (สมัยที่ ๒๕)   
๑๘   สิงหาคม ๒๕๖๘

© 2021 thairemark.com