ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยอัตราใหม่ ซึ่งประเทศไทยปรับขึ้นเป็น 37% ซึ่งส่งผลกระทบกับผู้ประกอบการในภาคธุรกิจต่างๆอย่างมาก เช่นเดียวกันกับภาคการเกษตรของไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวเช่นกัน โดยเฉพาะที่กลุ่มเกษตรกรทำนาเศรษฐกิจพอเพียง ตั้งอยู่เลขที่ 530 ม.1 ต.กุดน้ำใส อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งกลุ่มฯต้องการให้รัฐบาลสหรัฐทบทวนการขึ้นภาษีอีกครั้ง
นายฉัตรนพรัตน์ วีระศักดิ์ ประธานคณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรกรจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ถ้าสหรัฐอเมริกาประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าข้าวสารหอมมะลิไทยเป็นร้อยละ 37% ในฤดูกาลผลิตข้าวนาปีที่กำลังจะมาถึง ซึ่งการประกาศแบบนี้ต้องมีการวางแผนการผลิตใหม่ทั้งหมด ทั้งจากทางกลุ่มเกษตรกรทำนาว่าถ้าเป็นแบบนี้จะปลูกอย่างไร เพราะต้องเข้าใจว่าตลาดข้าวที่สหรัฐฯนั้นคู่แข่งสำคัญของไทยในกลุ่มประเภทข้าวสารเจ้าจะเป็นข้าวจากประเทศเวียดนาม
” ปีที่ผ่านมาเวียดนามส่งออกข้าวและสหรัฐอเมริกานำเข้า 400,000 ตัน ราคาประมาณ 600-700 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ และแม้ว่าภาษีจะเก็บแพงกว่าไทยแต่ราคาข้าวถูกกว่า ทำให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่นำเข้าจะเลือกข้าวหอมมะลิไทยหรือข้าวหอมเวียดนาม ขณะที่ผู้ประกอบการในสหรัฐอเมริกาก็มีข้าวแคลิฟอร์เนียจัสมินไรซ์คือข้าวหอมของสหรัฐอเมริกาด้วย ดังนั้นเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าอเมริกาต้องมาก่อนเชื่อว่าจะต้องสนับสนุนให้บริษัทเกษตรกรรมภายในประเทศสหรัฐอเมริกาปลูกแคลิฟอร์เนียจัสมินไรซ์เพิ่มขึ้นเพื่อคนอเมริกา ซึ่งจะทำให้กลุ่มข้าวหอมมีราคาถูกลงอีก”
นายฉัตรนพรัตน์ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลนำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและกระทรวงที่เกี่ยวข้องที่จะไปเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา อยากให้ทบทวนนโยบายดังกล่าว เพราะว่าชาวนาไทยยากจนและมีหนี้สินมาก จึงอยากให้คำนึงถึงชาวนาต้นทางที่เป็นผู้ผลิตอยากให้รัฐบาลไทยและรัฐบาลอเมริกาได้ทบทวนมาตรการที่จะจัดเก็บภาษีร้อยละ 37% ให้กลับไปใช้ฐานภาษีเดิมไม่ใช่แค่ข้าวแต่ทุกอย่างที่เป็นสินค้าเกษตรจากไทยที่จะส่งไปอเมริกาทั้งสดและแปรรูปขอให้คำนึงถึงมิตรภาพที่มีต่อกันมาอย่างยาวนานและในอนาคต
“ในฐานะที่เป็นชาวนาไทยในภารอีสานขอเรียกร้องว่าในเมื่อชาวนาภาคกลางท่านได้เมตตาให้ความช่วยเหลือชดเชยไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ ชาวนาอีสานขอความเมตตาอนุเคราะห์จากท่านนายกรัฐมนตรีโปรดชดเชยราคาข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียว กข.6 นาปี ไร่ละ 1,500 บาท ไม่เกิน 20 ไร่ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจและเพื่อผลักดันให้ข้าวหอมมะลิไทยเป็นสินค้าส่งออกนำเงินตราเข้าสู่ประเทศต่อไป และอยากให้รัฐบาลไทยทบทวนให้เกษตรกรส่งออกข้าวเองได้ผ่านระบบองค์กรสหกรณ์สากลระหว่างประเทศ ทำแบบนี้จะเป็นการตัดพ่อค้าคนกลางออกไปได้ และค้าขายกันได้เป็นอีกแนวทางนึงซึ่งรัฐบาลไม่เคยพูดถึงแต่ทำไมสภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อ 50 ปีก่อนถึงคิดได้หวังว่ารัฐบาลชุดนี้ก็น่าจะคิดได้ทบทวนกฎหมายเก่าๆที่พัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติเอามาปรับให้ทันยุคทันสมัยอีกครั้ง”